ปฏิบัตินิยม (Pragmatism) คือ ทัศนะทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้และความเป็นจริง สิ่งใดที่เรียกว่าจริงได้ต้องเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์บรรลุจุดมุ่งหมายของชีวิตและช่วยพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น หรือเป็นประโยชน์ต่อชีวิต สิ่งนี้เรียกว่า “ประสบการณ์” (Experience) และประสบการณ์นี้ถึงจะเป็นจริงแต่ก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ไม่ตายตัว และให้ความสำคัญแก่ความรู้เชิงอุปนัย (Induction) คือ ความรู้ที่เกิดจากการสะสมข้อเท็จจริงที่ได้จากการมีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาระยะหนึ่งด้วยนิสัยและความเคยชินว่าธรรมชาติจะต้องเหมือนเดิมเสมอ ซึ่ง นักปรัชญาลัทธิปฏิบัตินิยมคนสำคัญ มีดังนี้
เพิร์ซ (Charles S. Pierce) : ความคิดทางปรัชญาต้องนำไปสู่การปฏิบัติได้
เจมส์ (William James) : ยืนยันความคิดของเพิร์ซว่าถูกต้อง และนำไปใช้ได้ผลจริง
ดิวอี้ (John Dewey) : ผู้ทดลองหาความคิดที่ดีที่สุดเพื่อปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้
ประวัติและผลงานของเพิร์ซ
ชาร์ลส์ แซนเดอรส์ เพิร์ซ (ค.ศ.1839-1914) เป็นผู้ริเริ่มขบวนการเคลื่อนไหวแบบปฏิบัตินิยมในสหรัฐอเมริกา หรืออาจกล่าวได้ว่าเพิร์ซเป็น ผู้ให้กำเนิดปรัชญาปฏิบัตินิยม เพราะเป็นผู้นำคำว่า “ปฏิบัตินิยม” มาใช้ แต่ผู้ที่ทำให้คำนี้แพร่หลายและเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงการปรัชญาและสาธารณชน คือ วิลเลียม เจมส์
เพิร์ซเกิดที่แคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเซต เป็นบุตรชายคนที่สองของ เบนจามิน เพิร์ซ (Benjamin Peirce) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ด้านคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลังจากที่เพิร์ซสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และได้รับปริญญาทางเคมี แต่การศึกษาอย่างแท้จริงของเขาส่วนใหญ่มาจากบิดา ซึ่งเป็นผู้กระตุ้นให้เพิร์ซสนใจการทดลองในห้องปฏิบัติการมาแต่เยาว์วัย และที่สำคัญยิ่งคือเป็นผู้สอนคณิตศาสตร์ให้ จึงอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาทางปัญญาของเพิร์ซมีพื้นฐานมาจากคำสอนของบิดาของเขาเสียเป็นส่วนมาก
ปี ค.ศ.1863 ได้รับปริญญาทางเคมีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ปี ค.ศ.1861-1891 เข้าร่วมเป็นคณะผู้ทำงานใน The United States Coastal and Geodesic Survey ได้ทำวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และปรัชญา และเริ่มต้นอ่านผลงานของนักปรัชญาที่มีชื่อเสียง เช่น Critique of Pure Reason ของ คานต์
ปี ค.ศ.1864-1865 เป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ปี ค.ศ.1869-1870 เป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ปี ค.ศ.1870-1871 เป็นผู้บรรยายวิชาตรรกวิทยา
ปี ค.ศ.1879-1884 ได้สอนวิชาตรรกวิทยาที่มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ หลังจากนั้นไม่ได้กลับไปดำรงตำแหน่งทางวิชาการอีก จึงได้เรียบเรียงผลงานการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาที่ได้เริ่มทำไว้
ปี ค.ศ.1905 เพิร์ซไม่เห็นด้วยกับการพัฒนาทฤษฎีปฏิบัตินิยมของเจมส์ จึงเปลี่ยนชื่อทฤษฎีจาก pragmatism เป็น pragmaticism
ปี ค.ศ.1931-1935 หลังจากที่เพิร์ซเสียชีวิตแล้ว งานชิ้นสำคัญของเขาได้รับการจัดพิมพ์ รวมทั้งหมด 8 เล่ม (volumes) ในชื่อว่า Collected Papers โดยศาสตราจารย์ ชาร์ลส์ ฮาร์ตชอร์น (Charles Harshorne) และ พอล ไวสส์ (Paul Weiss) เป็นผู้เรียบเรียงตรวจสอบ 6 เล่มแรก
ปี ค.ศ.1957 Collected Papers อีก 2 เล่มได้รับการจัดพิมพ์ โดยมีศาสตราจารย์ เอ ดับเบิลยู เบิร์ค (A. W. Burke) เป็นบรรณาธิการ
ลัทธิปฎิบัตินิยมของ Peirce ได้รับอิทธิพลจากวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ เพิร์ซปฏิเสธทฤษฎีความสงสัยของ เดการ์ต ที่ว่า “เราควรเริ่มต้นจากการสงสัยทุกสิ่งทุกอย่าง จนกระทั่งในที่สุดเราจะพบว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราสงสัยไม่ได้ นั่นคือ ความสงสัยที่เรามีอยู่” ซึ่งทำให้ เรอเน เดการ์ต สรุปว่า “ฉันสงสัย ฉันจึงมีอยู่” (I doubt, therefore I exist.) แต่เพิร์ซเห็นว่า ความสงสัยที่เดการ์ตเสนอนั้นมิใช่ความสงสัยที่แท้จริง เพราะความสงสัยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อมีประสบการณ์บางอย่างเกิดขัดแย้งกับความเชื่อเดิมของเรา และเมื่อเกิดความขัดแย้งกันขึ้น เราก็จะแสวงหาแนวทางต่างๆ มาขจัดสภาวะแห่งความขัดแย้งนั้นให้หมดไป
เพิร์ซจึงเป็นผู้คิดสร้างทฤษฏีความสงสัยและความเชื่อ (The Doubt – Belief Theory) ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการหาความรู้ ซึ่งเพิร์ซเห็นว่าสิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องพัฒนานิสัยให้ เหมาะสมเพียงพอที่จะสนองความต้องการจำเป็นของตน ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้ตนเองมีชีวิตอยู่รอดได้ นิสัยเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ที่ทำให้เกิดพฤติกรรม เพิร์ซเรียกนิสัยที่เรารับเข้ามาไว้ในตัวเราว่า ความเชื่อ (belief) การมีความเชื่อ คือ การรู้ว่าเราจะสนองความต้องการของเราได้อย่างไร ส่วนความสงสัย (doubt) เป็นสภาวะของการขาดความเชื่อ